เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมวิหารสี่
ก่อนไปถึง 'อุเบกขา' อยากชวนคุยถึงคำที่องค์ทะไลลามะพูดบ่อยที่สุดคำหนึ่งนั่นคือ compassion (กรุณา)
ท่านเขียนไว้ในหนังสือ 'Beyond Religion' / 'ข้ามพ้นศาสนา' ในหัวข้อเกี่ยวกับความยุติธรรมอย่างน่าสนใจ ที่นึกถึงองค์ทะไลลามะเพราะท่านคือนักบวชที่ใช้ธรรมะมาคลุกเคล้าเข้ากับสังคมการเมืองและความทุกข์ในชีวิตอยู่เสมอ ในแง่หนึ่งท่านคือผู้ถูกกระทำจากรัฐบาลจีนกระทั่งต้องเดินทางออกจากบ้านตนเอง
ท่านกล่าวว่า ความกรุณาเป็นฐานให้ระบบโลกวิสัยได้ หลายคนมองกรุณาว่าคือให้อภัย อาจขัดแย้งกับหลักความยุติธรรมซึ่งต้องลงโทษผู้กระทำผิด กรุณามากเข้าอาจทำให้ผู้กระทำผิดไม่ได้รับการลงโทษ
องค์ทะไลลามะชี้ว่าอาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะ 'ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์' ไม่ได้บอกให้เรายอมจำนนต่อการกระทำผิดของผู้อื่น หรือก้มหน้ารับความอยุติธรรม ความกรุณาไม่สนับสนุนให้เราอ่อนแอหรือยอมตกเป็นเหยื่อ ตรงกันข้าม, มันต้องอาศัยความแข็งแกร่งและกล้าหาญอย่างสูง
ความกรุณาในมุมท่านทะไลลามะจึงสามารถลุกขึ้นต่อต้านความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญโดยไม่รุนแรง
เช่นนี้แล้ว เมื่อเกิดความอยุติธรรมขึ้น เช่น คอร์รัปชั่น การบริหารจัดการที่ผิดพลาด การใช้อำนาจในทางที่ผิด การลัดคิวให้ผู้มีอภิสิทธิ์ หรือการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยไม่ปฏิบัติตามหลักสากล เราสามารถต่อสู้กับความอยุติธรรมนั้นได้ด้วยหัวใจที่มีกรุณา มิใช่ให้อภัยหรือลืมๆ ไป
ในนิยามขององค์ทะไลลามะ การต่อสู้ด้วยกรุณาคือเน้นไปที่ 'การกระทำ' พยายามเปลี่ยนการกระทำชั่วของผู้กระทำให้กลายเป็นสิ่งถูกต้อง
ธรรมะจึงคลุกเคล้าอยู่กับชีวิต
เปื้อนดิน เปื้อนฝุ่น เจ็บปวด รู้สึกรู้สากับบาดแผล สะเทือนใจกับน้ำตา สั่นสะเทือนกับความตายและการสูญเสีย
...
เช่นนี้แล้ว อุเบกขาคืออะไร
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนไว้
แต่ถ้าคนมีธรรมะจะลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมอย่างมีกรุณา ก็น่าจะสู้อย่างมีอุเบกขาได้เหมือนกัน อาจคล้ายกับคำพระที่บอกว่า 'รู้-แต่ไม่รู้สึก' ซึ่งปุถุชนไม่ใช่จะเป็นแบบนั้นได้ง่ายๆ (ผมนี่รู้สึกอยู่ตลอด)
นั่นคือต่อสู้กับความอยุติธรรมโดยไม่ให้กระทบใจตัวเอง แน่นอนว่าไม่ใช่การวางเฉย หรือไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ส่วนตัวแล้วคิดว่าสามารถเข้าไปร่วมขัดแย้งได้ ในเมื่อขัดแย้งกับความไม่ถูกต้อง แต่ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นก่อให้เกิดเจตนาร้ายต่ออีกฝ่าย เช่น ทำร้ายร่างกายหรือฆ่าฟัน (อันนี้ใช่ว่าทุกคนจะทำได้)
ดังที่องค์ทะไลลามะและผู้ติดตามท่านไม่เคยยอมรับการยึดครองอธิปไตยทิเบตของจีน เห็นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระนั้นก็ต่อสู้ด้วยหัวใจของนักปฏิบัติภาวนา
...
ที่พูดมามิใช่ว่าทำได้ ตรงกันข้าม, ทำไม่ได้เลยต่างหาก ยังโกรธเกรี้ยว หงุดหงิด บางทีก็ไม่มีกรุณา และบางคราก็ประสงค์ร้าย (ไม่สิ ไม่ควร) แต่แค่อยากหารือกับมิตรสหายว่า ธรรมะอย่างพรหมวิหารสี่นั้นสามารถนำมาปรับใช้เพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมและการใช้อำนาจในทางที่ผิดได้โดยไม่ลอยอยู่เหนือโลก
หากเราตีความว่า 'เมตตา' คือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข 'กรุณา' คือปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ธรรมสองข้อนี้น่าจะทำให้หัวใจของเราสั่นไหวเมื่อเห็นคนถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกระทำ ถูกกระสุนยาง แก๊สน้ำตา ถูกแย่งวัคซีน หรือสูญเสียญาติมิตรในชีวิต
หัวใจที่สั่นไหวต่อความทุกข์ของเพื่อนร่วมสังคม น่าจะเป็นหัวใจที่มีเมตตากรุณา ใช้หัวใจนั้นต่อสู้เพื่อความถูกต้องอย่างมีอุเบกขา (ไม่ให้ความรู้สึกมาสร้างอารมณ์รุนแรงในใจ--แน่นอนว่าโคตรยาก) เพื่อสังคมที่เราอยากเห็น
สังคมที่เท่าเทียมน่าจะมีฐานของ 'มุทิตา' อยู่ในนั้น คือยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีชีวิตที่ดี อาจปรับมาใช้กับแนวคิดของการอยากเห็นผู้คนในสังคมมีสวัสดิการชีวิตที่ดี เกิดรัฐสวัสดิการขึ้น เพราะรู้สึกดีที่คนจนคนด้อยโอกาสมีมาตรฐานในการเรียนการรักษาพยายาลและโอกาสต่างๆ ดีขึ้น--เช่นนี้คือมุทิตาจิตใช่หรือไม่
...
พรหมวิหารสี่ คือ ที่อยู่ของพรหม
นั่นคือที่ที่ได้ดำรงชีวิตอย่างประเสริฐต่อตัวเองและผู้อื่น
จะว่าไปมันอาจหมายถึงสังคมที่ดี มีความเป็นธรรม มีความเท่าเทียม ไม่กระทำรุนแรงต่อประชาชน ไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ไม่เขียนกฎหมายเข้าข้างตัวเอง ไม่เอาเปรียบเสียงจากประชาชนโดยมีอีก 250 เสียงตุนไว้ ก่อให้เกิดบ้านเมืองที่อยู่กันได้อย่างสันติ ยุติธรรม เคารพและให้เกียรติให้ความแตกต่างหลากหลาย เกื้อกูลให้คนด้อยโอกาสมีโอกาสเสมอหน้ากัน
ไม่แน่ใจว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดตีความถูกต้องหรือไม่ แต่อยากโยนความคิดลงไปเพื่อหารือกัน และคิดว่าถ้าเราสามารถนำธรรมะมาปรับใช้กับสังคมได้โดยไม่ละเลยความทุกข์ยากของผู้คนและสิ่งบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในสังคม ธรรมะนั้นก็น่าจะใกล้ชิดกับชีวิตจริง
จึงแอบหวังให้ 'อุเบกขา' มาพร้อม 'เมตตา กรุณา และมุทิตา' ด้วย